ในโลกยุคใหม่ที่การวางแผนครอบครัวกลายเป็นเรื่องสำคัญของคนรุ่นใหม่ การเลือกใช้ “ยาเม็ดคุมกำเนิด” หรือที่หลายคนเรียกกันสั้น ๆ ว่า ” ยาคุม ” จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม หรือแม้แต่เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ปรับรอบเดือน หรือรักษาสิว ยาเม็ดคุมกำเนิดก็ถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่หลายคนก็ยังคงมีคำถามว่า

ยาเม็ดคุมกำเนิดมีกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับร่างกายของเราเองมากที่สุด?

     บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิด วิธีการทำงานของแต่ละประเภท รวมถึงข้อดี ข้อเสีย และคำแนะนำเบื้องต้น

สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประเภทของยาคุม

     ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่หลัก ๆ คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน และ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดไม่ใช่ฮอร์โมน โดยกลุ่มฮอร์โมนจะแบ่งย่อยได้อีกหลายประเภท ส่วนชนิดไม่ใช่ฮอร์โมนจะมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างออกไป

1. ยาคุม ชนิดฮอร์โมน

1.1 ยาคุม แบบเม็ด (Oral Contraceptive Pills)

แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย:

1.1.1 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive Pills – COC)
     ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน เหมาะสำหรับผู้หญิงทั่วไปที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้เอสโตรเจน

  • ข้อดี:

  • ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99% หากทานอย่างถูกต้อง

  • ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน

  • ผิวพรรณดีขึ้น รักษาสิว

  • รอบเดือนสม่ำเสมอขึ้น


  • ข้อเสีย:

  • ต้องกินเวลาเดิมทุกวัน

  • อาจมีผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ น้ำหนักขึ้น

  • ห้ามใช้ในผู้ที่สูบบุหรี่และอายุมากกว่า 35 ปี

1.1.2 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบโปรเจสตินอย่างเดียว (Progestin-Only Pills – POP)
     เหมาะกับผู้ที่ให้นมบุตร หรือมีข้อห้ามเรื่องเอสโตรเจน

  • ข้อดี:

  • ปลอดภัยในผู้หญิงหลังคลอด

  • ลดความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน
  • ข้อเสีย:

  • ต้องกินตรงเวลามากกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบรวม

  • ประจำเดือนอาจมากหรือน้อยไม่สม่ำเสมอ

1.2 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉีด (Injectable Contraceptives)

  • มีทั้งแบบฉีดทุก 1 เดือน และทุก 3 เดือน

  • ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน หรือผสมฮอร์โมนทั้งสองชนิด
  • ข้อดี:

  • สะดวก ไม่ต้องกินทุกวัน

  • ลดความเสี่ยงตั้งครรภ์สูง
  • ข้อเสีย:

  • อาจมีผลข้างเคียง เช่น เลือดออกกระปริบกระปรอย

  • อาจเกิดภาวะกระดูกบางหากใช้ติดต่อกันนานเกินไป

  • หากต้องการมีลูก ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

1.3 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฝัง (Implant)

  • ลักษณะเป็นแท่งเล็ก ๆ ฝังใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขน

  • ปล่อยฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
  • ข้อดี:

  • ป้องกันได้นานถึง 3-5 ปี

  • ไม่ต้องกังวลเรื่องลืมกินยา

  • ประสิทธิภาพสูงถึง 99.95%


  • ข้อเสีย:

  • อาจมีอาการเลือดออกไม่สม่ำเสมอ

  • ราคาค่อนข้างสูง

  • ต้องให้แพทย์ทำการฝังและถอด

1.4 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผ่นแปะ (Contraceptive Patch)

  • แผ่นแปะฮอร์โมนที่ติดตามผิวหนัง

  • เปลี่ยนทุกสัปดาห์
  • ข้อดี:

  • ไม่ต้องกินยา

  • ควบคุมฮอร์โมนได้สม่ำเสมอ

  • ใช้ง่าย


  • ข้อเสีย:

  • อาจระคายเคืองผิว

  • ไม่เหมาะกับผู้มีน้ำหนักมากกว่า 90 กก.

  • อาจหลุดจากผิวโดยไม่รู้ตัว

1.5 วงแหวนคุมกำเนิด (Vaginal Ring)

  • วงแหวนยางที่ใส่เข้าไปในช่องคลอด

  • ปล่อยฮอร์โมนทุกวันภายใน 3 สัปดาห์ และพัก 1 สัปดาห์
  • ข้อดี:

  • ไม่ต้องกินยาทุกวัน

  • ไม่รู้สึกว่าใส่อยู่

  • รอบเดือนสม่ำเสมอ
  • ข้อเสีย:

  • อาจรู้สึกไม่สบายในช่วงแรก

  • ต้องระวังการใส่และถอดอย่างถูกวิธี

2. ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมน

2.1 ห่วงอนามัย (IUD – Intrauterine Device)

  • เป็นอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในโพรงมดลูก

  • มีทั้งชนิดทองแดง (ไม่ใช้ฮอร์โมน) และชนิดที่มีฮอร์โมน

  • ข้อดีของแบบไม่ใช้ฮอร์โมน (Copper IUD):

  • ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 5-10 ปี

  • ไม่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ฮอร์โมนได้

  • ข้อเสีย:

  • อาจมีประจำเดือนมากขึ้น

  • ต้องใส่โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อหากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม

2.2 ถุงยางอนามัย

  • เป็นวิธีที่นิยมและใช้แพร่หลาย

  • มีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง

  • ข้อดี:

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ใช้ง่าย ราคาไม่แพง

  • ไม่มีผลต่อฮอร์โมนหรือรอบเดือน

  • ข้อเสีย:

  • อาจเกิดความผิดพลาดหากใช้งานไม่ถูกวิธี

  • บางคนอาจแพ้น้ำยาหล่อลื่นหรือยางลาเท็กซ์

จะเลือกใช้ยาคุมแบบไหนดี?

การเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

  1. สุขภาพทั่วไปของผู้ใช้ – มีโรคประจำตัวหรือไม่ แพ้ฮอร์โมนหรือไม่

  2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต – ขี้ลืมหรือไม่, ต้องการความสะดวกมากแค่ไหน

  3. แผนในอนาคต – อยากมีลูกในกี่ปี

  4. อายุ และพฤติกรรมเสี่ยง – เช่น สูบบุหรี่, โรคหลอดเลือด

  5. ผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ – เช่น น้ำหนักขึ้น, ผิวมัน, ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง

คำแนะนำ:

  • หากเริ่มต้นใหม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

  • อย่าหยุดใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเองโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

  • หมั่นสังเกตร่างกายหลังการใช้ทุกชนิด

  • อย่าลืมว่าการคุมกำเนิดไม่มีวิธีใดที่ปลอดภัย 100% ยกเว้นการงดมีเพศสัมพันธ์

   การคุมกำเนิดไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย ยาคุม มีให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งแบบที่มีฮอร์โมนและไม่มีฮอร์โมน

ซึ่งล้วนมีข้อดี ข้อเสีย และวิธีใช้ที่ต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พร้อมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

เพราะการคุมกำเนิดที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการใส่ใจในสุขภาพ การวางแผนอนาคต และการเคารพตนเองและคู่รักอย่างแท้จริง